ภาพพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงโปรดชฎิล 3 พี่น้อง ทำให้จิตของทั้ง 3 รวมถึงภิกษุชฎิลทั้งพันรูป |
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกโดยลำดับ จนถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคม สมัยนั้นชฎิลสามพี่น้อง คือ อุรุเวลกัสสปะ ประธานของเหล่าชฎิล ๕๐๐ คน นทีกัสสปะ ประธานของเหล่าชฎิล ๓๐๐ คน คยากัสสปะ ประธานของเหล่าชฎิล ๒๐๐ คน ตั้งสำนักอยู่ ณ อุรุเวลาเสนานิคมนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่อาศรมของอุรุเวลกัสสปะ หลังจากมีปฏิสันถารกันตามสควรแล้วจึงตรัสว่า กัสสปะ ถ้าท่านไม่ขัดข้อง เราจะขออาศัยพักอยู่ในโรงบูชาเพลิงของท่านสักราตรีหนึ่ง
อุรุเวลกัสสปะตอบว่า ข้าแต่มหาสมณ ข้าพเจ้าไม่ขัดข้องเลย แต่ในดรงบูชาเพลิงนั้นมีพญานาคดุร้าย มีฤทธิ์ พิษร้ายแรงอาศัยอยู่ มันอาจจะทำให้ท่านลำบาก
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราแน่ใจว่าพญานาคคงจะไม่ทำอันตรายเรา ขอท่านจงอนุญาตให้เราพักอาศัยในที่นั้นเถิด แม้ครั้งที่สอง แม้ครั้งที่สาม อุรุเวลกัสสปะจึงกล่าวว่า ข้าแต่มหาสมณะ เชิญท่านพำนักในโรงบูชาเพลิงตามความประสงค์เถิด
เมื่ออุรุเวลกัสสปะกล่าวอนุญาตดังนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่โรงบูชาเพลิง ทรงลาดสันถัต ประทับนั่งขัดสมาธิ ตั้งพระกายตรงดำรงสติไว้มั่น นับแต่นั้นได้เกิดปฏิหาริย์ปรากฏแก่อุรุเวลกัสสปะถึง ๑๑ ครั้ง
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๑ พระพุทธองค์ทรงขดพญานาคไว้ในบาต แล้วทรงแสดงแก่ชฎิลนั้น ตรัสว่า อุรุเวลกัสสปะ นี่พญานาคของท่าน เราครอบงำไว้ด้วยเดชของเราแล้ว ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๒ ท้าวมหาราชทั้ง ๔ (จอมเทพ ๔ องค์ผู้รักษาคุ้มครองโลกใน ๔ ทิศ อันได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวกุเวร) มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อฟังธรรม ส่งรัศมีงาม ยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสว ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๓ ท้าวสักกะจอมเทพมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อฟังธรรม อันทำให้เกิดรัศมีงาม ปราณีตกว่ารัศมีของท้าวมหาราช ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๔ ท้าวสหัมบดีพรหม มาเผ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อฟังธรรม ได้เปล่งรัศมีงามยังไพรสณฑ์ทั้งสิ้นให้สว่างไสวดุจไฟกองใหญ่ ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๕ ก่อนทำพิธีบูชาไฟอุรุเวลกัสสปะ ได้เตรียมการเป็นการใหญ่ อุรุเวลกัสสปะดำริว่า ถ้าพระมหาสมณะจักทำอิทธิปาฏิหาริย์ในหมู่มหาชน ลาภสักการะก็จักเจริญยิ่งแก่พระมหาสมณะลาภสักการะของเราจักเสื่อม ทำไฉน วันพรุ่งนี้พระมหาสมณะจึงจะไม่มาฉันที่นี่ พระพุทธองค์ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของอุรุเวลกัสสปะแล้ว เสด็จไปยังอุตตรกุรุทวีป นำบิณฑบาตจากอุตตรกุรุทวีปมาเสวยที่ริมสระอโนดาต ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งนัก ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๖ ท้าวสักกะและเทวดาเนรมิตสระโบกขรณี ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าซักผ้าบังสุกุล เนรมิตศิลาแผ่นใหญ่มาไว้ ให้ขยำผ้า น้อมกิ่งกุ่มมาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าพาดผ้าบังสุกุล ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยการเนรมิตของท้าวสักกะและเทวดาที่สถิตอยู่ ณ ต้นกุ่มบก ครั้นทราบความ อุรุเวลกัสสปะ ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่พระมหาสมณะนี้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๗ เมื่ออุรุเวลกัสสปะมาเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าไปฉันภัตตาหารที่โรงบูชาเพลิง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเสด็จไปเก็บผลหว้าจากต้นหว้าประจำชมพูทวีป และได้ทรงเสด็จไปเก็บผลมะม่วง ผลมะขามป้อม ผลสมอ ในที่ไม่ไกลจากต้นหว้าประจำชมพูทวีปนั้น แล้วเสด็จไปสู่ภพดาวดึงส์ ทรางเก็บดอกปาริฉัตรแล้วมาประทับนั่งในโรงบูชาเพลิงก่อนที่อุรุเวลกัสสปะจะมาถึง แม้อุรุเวลกัสสปะ ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเพียงนี้แล้ว ก็ยังมีความมั่นใจว่าถึงอย่างไร พระองค์ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราอยู่เช่นเดิม
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๘ ในการเตรียมการบำเรอไฟวันหนึ่ง เหล่าชฎิลไม่อาจผ่านฟืนได้ แต่เมื่อพระบรมศาสดาตรัสกับอุรุเวลกัสสปะให้ผ่าฟืน ชฎิลทั้งหลายผ่านฟืน ๕๐๐ ท่อน สำเร็จด้วยการผ่าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อุรุเวลกัสสปะเห็นดังนั้น ดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฎิลผ่าฟืนสำเร็จได้เช่นนี้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๙ ครั้นเมื่อถึงเวลาบำเรอไฟ เหล่าชฎิลก็ไม่สามารถจะก่อไฟให้ลุกได้ แลเมื่อพระบรมศาสดาตรัสกับอุรุเวลกัสสปะว่า ท่านจงให้พวกชฎิลก่อไฟให้ลุกเถิด ไฟทั้ง ๕๐๐ กอง ได้ลุกขึ้นพร้อมกันในคราวเดียว แม้กระนั้นอุรุเวลกัสสปะก็ยังมีความดำริว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับให้พวกชฎิลก่อไฟได้สำเร็จเช่นนี้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๑๐ ต่อมาเป็นเหมันตฤดู ชฎิลเหล่านั้นพากันลงไปอาบน้ำตามประเพณี ในแม่น้ำเนรัญชรา ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศหนาวจัด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิตกองไฟไว้ ๕๐๐ กอง เตรียมให้ชฎิลเหล่านั้นผิงเมื่อขึ้นจากน้ำแล้ว ชฎิลเหล่านั้นดำริว่า กองไฟเหล่านี้ถูกเนรมิตไว้นั้น คงต้องเป็นอิทธานุภาพของพระมหาสมณะโดยไม่ต้องสงสัย อุรุเวลกัสสปะก็ยังดำริเช่นเดิมอีกว่า แม้พระมหาสมณะมีฤทธิ์มากมีอานุภาพ ถึงกับเนรมิตกองไฟได้มากมาย แต่ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่
-
ปาฏิหาริย์ที่ ๑๑ ครั้งนั้นเมฆใหญ่ในสมัยที่มิใช่ฤดูกาล ยังฝนให้ตก ห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลนองไปแม้ในสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ก็ถูกน้ำท่วม ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เราจะบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ จึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบ แล้วได้เสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันแห้งสนิทตอนกลางนั้น อุรุเวลกันสปะเห็นน้ำท่วมที่ประทับ คิดว่า พระมหาสมณะอย่าได้ถูกน้ำพัดไปเสียเลย กลับได้เห็นดังนั้นจึงดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับบันดาลไม่ให้น้ำไหลเข้าไปได้ แต่แม้กระนั้นก็ไม่เป็นอรหันต์เหมือนเราแน่
อุรุเวลกัสสปะทุลขอบรรพชาอุปสมบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระดำริว่า โมหบุรุษนี้ได้มีความคิดอย่างนี้มานานแล้วว่า พระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ แต่ก็ไม่เป็นอรหันต์เหมือนเรา ถ้ากะไรเราพึงให้ชฎิลนี้สลดใจ จึงตรัสว่า กัสสปะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ทั้งยังไม่พบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ แม้แต่ปฏิปทาของท่านที่จะเป็นเหตุให้เป็นพระอรหันต์ หรือพบทางแห่งความเป็นพระอรหันต์ก็ยังไม่มี อุรุเวลกัสสปะฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอข้าพระพุทธเจ้าพึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กัสสปะ ท่านเป็นประธานของชฎิล ๕๐๐ คน ท่านจงบอกกล่าวชฎิลเหล่านั้นให้ทราบความประสงค์ของท่านก่อน
ลำดับนั้น อุรุเวลกัสปะได้แจ้งความประสงค์ต่อบริวารเหล่านั้น ชฎิลบริวารกราบเรียนว่า ท่านอาจารย์ พวกข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งในพระมหาสมณะโคดมมานานแล้ว หากอาจารย์ประสงค์จะประพฤติพรหมจรรย์ตามพระมหาสมณะ พวกข้าพเจ้าทั้งหมดก็จักประพฤติตามพระมหาสมณะด้วยเช่นเดียวกัน
ชฎิลเหล่านั้นได้ลอยชฎา บริขาร และเครื่องบูชาพระเพลิงลงในแม่น้ำ แล้วพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาอุปสมบทว่า ขอพวกข้าพระองค์ พึงได้บรรพชาพึงได้อุปสมบท ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเถิดพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
พระวาจานั้นเป็นอุปสมบทกรรมของอุรุเวลกัสสปะ พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๕๐๐
นทีกัสสปะทูลขอบรรพชาอุปสมบท
นทีกัสสปะ ได้เห็นชฎา บริขาร และเครื่องบูชาเพลิงลอยน้ำมา มีความดำริว่าขออุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายของเราเลย แล้วตนเองกับบริวาร ๓๐๐ ได้ไปหาพระอุรุเวลกัสสปะเรียนถามว่า ข้าแต่พี่กัสสปะ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ
พระอุรุเวลกัสสปะตอบว่า แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ
นทีกัสสปะ และเหล่าบริวารจึงลอยชฎา บริขาร และเครื่องบูชาเพลิงลงในแม่น้ำ แล้วพากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พรผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
พระวาจานั้นเป็นอุปสมบทกรรมของนทีกัสสปะ พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๓๐๐
คยากัสสปะทูลขอบรรพชาอุปสมบท
คยากัสสปะ ได้เห็นชฎา บริขาร และเครื่องบุชาเพลิงลอยน้ำมา มีความดำริว่า ขออุปสรรคอย่าได้มีแก่พี่ชายของเราเลย แล้วทั้งตนเองกับบริวาร ๒๐๐ ได้ไปหาพระอุรุเวลกัสสปะเรียนถามว่า ข้าแต่พี่กัสสปะ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐแน่หรือ
พระอุรุเวลกัสสปะตอบว่า แน่ละเธอ พรหมจรรย์นี้ประเสริฐ
คยากัสสปะและเหล่าบริวารจึงลอยชฎา บริขาร และเครื่องบูชาเพลิงลงในแม่น้ำ แล้วพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด แล้วตรัสต่อไปว่า ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด
พระวาจานั้นเป็นอุปสมบทกรรมของคยากัสสปะ พร้อมด้วยชฎิลบริวาร ๒๐๐
ทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ตำบลอุรุเวลาตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว ได้เสด็จจาริกไปสู่ตำบล คยาสีสะ พร้อมด้วยภิกษสงฆ์หมู่ใหญ่ ๑๐๐๐ รูป ล้วนเป็นปุราณชฎิล ประทับอยู่ใกล้แม่น้ำคยา ณ ที่นั้น
พระพุทธองค์ทรงแสดง อาทิตตปริยายสูตร แก่ภิกษุชฎิล ๑๐๐๐ รูป ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน
-
จักษุเป็นของร้อน – รูปทั้งหลายเป็นของร้อน
-
โสตะเป็นของร้อน – เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน
-
ฆานะเป็นของร้อน – กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน
-
ชิวหาเป็นของร้อน – รสทั้งหลายเป็นของร้อน
-
กายเป็นของร้อน – สัมผัสที่อาศัยกายเป็นของร้อน
-
มนะเป็นของร้อน – ธรรมทั้งหลายเป็นของร้อน
ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟัง แล้วพิจารณาตามนี้
-
ย่อมเบื่อหน่ายในจักษุ – เบื่อหน่ายในรูปทั้งหลาย
-
ย่อมเบื่อหน่ายในโสตะ – เบื่อหน่ายในเสียงทั้งหลาย
-
ย่อมเบื่อหน่ายในฆานะ – เบื่อหน่ายในกลิ่นทั้งหลาย
-
ย่อมเบื่อหน่ายในชิวหา – เบื่อหน่ายในรสทั้งหลาย
-
ย่อมเบื่อหน่ายในกาย – เบื่อหน่ายในสัมผัสที่อาศัยกาย
-
ย่อมเบื่อหน่ายในมนะ – เบื่อหน่ายในธรรมทั้งหลาย
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัดจิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี
ขณะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ จิตของภิกษุชฎิลทั้ง ๑๐๐๐ รูปนั้น พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น
เรียบเรียงจากหนังสือ พระพุทธประวัติ โดย สุรีย์ มีผลกิจ
กลับไปที่ภาพชุดที ๓ |