ภาพพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรินิพพาน ณ เมืองกุสินรา |
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งพระอานนท์ว่า เมื่อเราปรินิพพานไปแล้ว พวกเธออย่าคิดว่าพระบรมศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี อันตถาคตได้แสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัย ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
อานนท์ บัดนี้ภิกษุเรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโส โดยล่วงไปแห่งเราไม่ควรเรียกกันเช่นนั้น ภิกษุผู้แก่กว่าพึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า โดยชื่อ โดยโคตร หรือโดยวาทะว่า อาวุโส ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภันเต (ผู้เจริญ) หรือ อายัสมา (ผู้มีอายุ)
พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า อานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา หากสงฆ์ปรารถนา จะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้าง ก็จงถอนเถิด
อานนท์ โดยการล่วงไปแห่งเรา สงฆ์พึงลงพรหมทัณฑ์ แก่ฉันนภิกษุ พระอานนท์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พรหมทัณฑ์เป็นไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปล่อยฉันนภิกษุให้พูดได้ตามที่ตนปรารถนา ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่ากล่าว ไม่พึงตักเตือน ไม่พึงสั่งสอน
ในที่สุด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุรูปใดมีความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พวกเธอจงถามเถิด อย่าให้มีความร้อนใจในภายหลังได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว ก็ยังมิกล้าทูลถามพระองค์ แม้พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง ภิกษุเหล่านั้นก็ยังพากันนิ่งอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งอีกว่า ภิกษุทั้งหลายบางทีพวกเธออาจจะไม่กล้าถามเพราะความยำเกรงในคถาคต ถ้าเช่นนั้น เธอจงบอกแก่ภิกษุผู้สหายให้ถามแทนเถิด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พวกภิกษุเหล่านั้นก็ยังพากันนิ่งอยู่เช่นเดิม
พระอานนท์กราบทูลว่า น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระภิกษุเหล่านี้ ว่าไม่มีสักรูปหนึ่งที่จะสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือในข้อปฏิบัติใดๆ
พระพุทธองค์ตรัสว่า อานนท์ ความเคลือบแคลงสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ในมรรคผล หรือในปฏิปทาข้อปฏิบัติ จะไม่มีแก่ภิกษุแม้รูปเดียวในที่นี้ เพราะในบรรดาภิกษุสงฆ์เหล่านี้ รูปที่มีคุณธรรมต่ำสุดก็เป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีทางที่จะตรัสรู้ในภายหน้าแน่นอน
ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนบรรดาภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอว่า
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เธอทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด
นี้เป็นว่าจาในครั้งสุดท้ายของตถาคต
พระบรมศาสดาตรัสดังนี้แล้ว ก็มิได้ตรัสอีกต่อไป พระวาจานี้จึงเป็นปัจฉิมวาจาของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ พระโอวาททั้งหมดที่ทรงประทานไว้แก่สัตว์โลกทั้งหลายตลอดเวลา ๔๕ พรรษา รวมลงในความไม่ประมาท ด้วยประการฉะนี้
หลังจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพาน ในลำดับแห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น พร้อมกับการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เกิดแผ่นดินใหญ่ไหว ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือขึ้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุที่ยังไม่สิ้นราคะ รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตอันตรธานเร็วนัก ส่วนพระภิกษุที่ปราศจากราคะแล้วมีสติสัมปชัญญะพิจารณาอยู่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เกิดขึ้นแล้วย่อมมีการเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ไม่มีเว้นแม้แต่พระบรมศาสดา
พระอนุรุทธะเตือเหล่าภิกษุว่า อาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความพลัดพรากจากสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้นต้องมี สิ่งใดมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว ต้องมีความแตกทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่าขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
พระอนุรุทธะและพระอานนท์ ยังราตรีที่เหลือนั้นให้ล่วงไปด้วยธรรมกถาที่เกี่ยวกับมรณัสสติว่า พระยามัจจุราชนี้ ไม่ละเว้นแม้พระบรมศาสดาผู้ประเสริฐสุดในโลก จนกระทั่งรุ่งเช้า พระอนุรุทธะจึงสั่งพระอานนท์ ให้ไปแจ้งข่าวการเสด็จปรินิพพานของพระบรมศาสดาแก่มัลลกษัตริย์กุสินารา พระอานนท์จึงเข้าไปในกรุงกุสินารา
เรียบเรียงจากหนังสือ พระพุทธประวัติ โดย สุรีย์ มีผลกิจ
กลับไปที่ภาพชุดที่ ๔ |