ภาพนางพระธรณีบิดมวยผมให้สายน้ำพัดพาพญามารซึ่งขี่ช้างคิรีเมขล์ พร้อมทั้งพลมารซึ่งกระทำการเพื่อให้พระโพธิสัตว์ลุกหนีไปจากการบำเพ็ญเพียร |
ครั้งนั้น พญามารคิดว่า สิทธัตถะนี้ประสงค์จะก้าวล่วงอำนาจของเรา เราจักไม่ให้สิทธัตถะล่วงพ้นไปได้ จึงยกพลมารออกมา สั่งให้พลมารล้อมพระโพธิสัตว์ไว้ทั้ง 4 ด้าน ข้างหน้าและข้างหลังมีระยะทางยาวด้านละ 12 โยชน์ ข้างซ้ายและข้างขวาด้านละ 9 โยชน์ ซึ่งเมื่อเสียงโห่ร้องนั้นบันลือขึ้น จะได้ยินเหมือนเสียงแผ่นดินทรุด
พญามารขี่ช้างชื่อ คิรีเมขล์ เนรมิตแขนพันแขน สำหรับถืออาวุธนานาชนิด พลมารนอกนั้นต่างก็ถืออาวุธคนละชนิด พากันเข้ามาห้อมล้อมพระโพธิสัตว์ผู้ประทับนั่ง ณ ควงโพธิพฤกษ์
เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมณฑล บรรดาเทพเหล่านั้นแม้แต่สักองค์หนึ่งก็ไม่อาจจะยืนอยู่ ณ ที่นั้นได้ พากันหนีไปทันที ท้าวสักกเทวราชลากวิชยุตรสังข์ไปยืนที่ขอบจักรวาล ท้าวมหาพรหมจับยอดเศวตฉัตรเสด็จไปยังพรหมโลกทันที แม้พญากาฬนาคราชก็ดำดินไปยังมัญเชริกนาคภพ เหลือแต่พระโพธิสัตว์ประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์เพียงพระองค์เดียว
พญามารกล่าวกับบริษัทของตนว่า ชื่อว่าบุรุษอื่นจะเสมอเหมือนสิทธัตถะ พระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะย่อมไม่มี พวกเราไม่อาจจักทำการซึ่งหน้าได้ พวกเราจักทำการทางด้านหลัง
พระโพธิสัตว์ทรงมองไปรอบด้าน เห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านหลังอีก จึงมีพระดำริว่า พลมารประมาณเท่านี้กำลังกระทำความพากเพียรอย่างใหญ่หลวง เพื่อมุ่งหมายแต่เราผู้เดียว ในที่นี้เราไม่มีผู้ใดอื่น นอกจากบารมี 10 ที่ได้บำเพ็ญมาตลอดกาลนานเท่านั้น ฉะนั้น เราจักใช้ศาสตราคือบารมีนั่นแหละ ต่อสู้กับทัพมารเหล่านี้จึงจะควร แล้วทรงระลึกถึงบารมีทั้ง 10 ประการที่เคยอบรมสั่งสมมา ด้วยพระทัยอันมั่นคง
พญามารคิดว่า จักให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลง จึงบันดาลมณฑลแห่งลมให้ตั้งขึ้น ลมนั้นถึงแม้ว่าสามารถจะทำลายยอดภูเขาใหญ่น้อยทั้งหลาย สามารถถอนต้นไม้ กอไม้ และทำคามนิคมรอบด้านให้ละเอียดเป็นจุณวิจุณไปได้ แต่เมื่อลมนั้นมาถึงพระโพธิสัตว์ ก็ไม่อาจกระทำแม้สักว่าชายจีวรให้ไหว ด้วยอานุภาพแห่งพระบารมีของของพระโพธิสัตว์
พญามารจึงบันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้น ด้วยหวังว่าจักให้น้ำท่วม เมฆฝนอันมีหลืบร้อยหลืบพันหลืบ ตั้งขึ้นในเบื้องบนซ้อนๆกันแล้วตกลงมา ด้วยกำลังแห่งสายธารน้ำฝน แผ่นดินแยกออกเป็นช่องน้อยช่องใหญ่ แม้กระนั้น ก็ไม่อาจทำให้น้ำแม้สักเท่าหยาดน้ำค้างเปียกจีวรของพระโพธิสัตว์ได้
จากนั้น พญามารบันดาลห่าฝนหินให้ตั้งขึ้น ศิลาก้อนใหญ่คุกรุ่นเป็นควันไป ลุกโพลงลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์
แต่นั้น ได้บันดาลห่าฝนถ่านเพลิง ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
จากนั้น มารจึงได้บันดาลห่าฝนเถ้ารึงให้ตั้งขึ้น เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ แล้วกลายเป็นฝุ่นไม้จันทน์ ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
ต่อจากนั้น ได้บันดาลห่าฝนทรายให้ตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ ลอยมาทางอากาศกลายเป็นดอกไม้ทิพย์ ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
แต่นั้น จึงบันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมนั้นลอยมาทางอากาศ กลายเป็นเครื่องลูไล้ทิพย์ ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
ต่อแต่นั้น พญามารได้บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่าเราจักทำให้สิทธัตถะตกใจกลัวแล้วหนีไป แต่ความมืดนั้นพอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป เหมือนถูกขจัดด้วยแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์ ฉะนั้น
ขณะที่เหล่ามาร กระทำการจู่โจมพระโพธิสัตว์อยู่นั้น
-
อุกกาบาตก็ตกลงโดยรอบ
-
ทิศทั้งหลายก็คลุ้มไปด้วยควัน
-
แผ่นดินก็สะเทือนปานประหนึ่งจะทรุด
-
มหาสมุทรก็ปั่นป่วน แม่น้ำทั้งหลายก็ไหลทวนกระแส
-
ลำต้นไม้ต่างๆก็คดงอ จมลงไปจนติดดิน
-
ลมร้ายก็พัดไปรอบ มีเสียงอึกทึกครึกโครม
-
ความมืดก็ปกคลุมอยู่ทั่วไป ลางร้ายอันพิลึกบังเกิดขึ้นทั้งในอากาศ และบนภาคพื้นดินเป็นอันมาก
พญามารคิดว่าจักยังพระโพธิสัตว์ให้กลัวแล้วหนีไป แต่ก็ไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปได้ แม้ด้วยฤทธิ์ของมารทั้ง 9 ประการคือ ลม ฝน ก้อนหิน เครื่องประหาร ถ่านไฟ เถ้ารึง ทราย โคลน และความมืด พระโพธิสัตว์ผจญกับการจู่โจมของเหล่ามาร ด้วยอานุภาพแห่งบารมีที่ได้บำเพ็ญสั่งสมมา
พญามารเมื่อไม่สามารถเอาชนะพระโพธิสัตว์ได้ มีใจขึ้งโกรธมาก บังคับหมู่พลมารว่าพวกเจ้าจะหยุดอยู่ไย จงทำสิทธัตถะให้ไม่เป็นสิทธัตถะ จงทำให้สิทธัตถะหนีไป ส่วนตนเองนั่นอยู่บนคอช้างคิรีเมขล์ ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์ แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์ บัลลังก์นี้ไม่ควรแก่ท่าน บัลลังก์นี้ควรแก่เรา
พระโพธิสัตว์ ได้ฟังคำของพญามารแล้ว ตรัสว่า ดูกรมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี 10 ไม่ได้บริจาคมหาบริจาค 5 ไม่ได้บำเพ็ญโลกัตถจริยา ญาตัตถจริยา และพุทธัตถจริยา ทั้งหมดนั้นเราได้บำเพ็ญมาแล้ว ดังนั้นบัลลังก์นี้จึงไม่ควรแก่ท่าน บัลลังก์นี้ควรแก่เราเท่านั้น
มหาบริจาค 5 ได้แก่ การบริจาคร่างกาย บริจาคดวงตา บริจาคทรัพย์ การสละราชสมบัติ และการบริจาคบุตรภรรยา
-
โลกัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่โลก
-
ญาตัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์แก่พระญาติ
-
พุทธัตถจริยา การบำเพ็ญประโยชน์โดยฐานะเป็นพระพุทธเจ้า
พญามารอดกลั้นกำลังแห่งความโกรธไว้ไม่ได้ จึงขว้างจักราวุธใส่พระโพธิสัตว์ เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงรำพึงถึงบารมี 10 จักราวุธนั้นได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ ณ เบื้องบน จักราวุธนั้นคมกล้านัก สามารถจะตัดเสาหินให้ขาดไปได้เสมือนตัดหน่อไม้ไผ่
บัดนี้ เมื่อจักราวุธกลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ เหล่ามารจึงพากันปล่อยก้อนหินใหญ่ให้กลิ้งมา ด้วยคิดว่าจักให้สิทธัตถกุมารลุกจากบัลลังก์หนีไป แต่ก้อนหินเหล่านั้นก็กลายเป็นกลุ่มดอกไม้ ตกลงยังภาคพื้นดิน เทวดาทั้งหลายที่ยืนอยู่ยังขอบจักรวาล ต่างก็แลดูและคิดกันว่า อัตภาพอันถึงความเลิศด้วยพระรูปกายของสิทธัตถะจะถึงกาลสูญสิ้นแล้ว สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำเช่นไรหนอ
ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์นี้เป็นบัลลังก์ที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ดังนั้นย่อมถึงแก่เรา มาร ท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อบัลลังก์นี้มาแต่ครั้งไร ในภาวะที่ท่านได้ให้ทาน ใครเป็นสักขีพยานของท่าน พญามารเหยียดมือออกไปตรงหน้าหมู่มารกล่าวว่า เหล่ามารมีประมาณเท่านี้เป็นสักขีพยานของเรา ขณะนั้นเสียงของพลมารได้ดังขึ้นว่าเราเป็นสักขีพยาน เราเป็นสักขีพยาน เสียงนั้นได้เป็นเสมือนเสียงแผ่นดินทรุด
พญามารถามพระโพธิสัตว์บ้างว่า สิทธัตถะในภาวะที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ผู้ใดเป็นสักขีพยาน พระโพธิสัตว์ตรัสว่า ในที่นี้เราไม่มีผู้ใดที่มีจิตใจจะเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้แล้วในอัตภาพอื่นๆจงยกไว้ เอาเพียงในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร แล้วได้ให้สัตตสดกมหาทาน (คือให้สิ่งของอย่างละร้อยรวม 7 อย่าง) มหาปฐพีอันหนาทึบนี้ แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานแก่เราได้
พระโพธิสัตว์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา ชี้ลงตรงพื้นมหาปฐพี ตรัสว่า ในกาลที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพของพระเวสสันดร แล้วได้บริจาคสัตสดกมหาทาน ท่านจะเป็นสักขีพยานได้หรือไม่
ทันใดนั้น มหาปฐพีอันกว้างใหญ่ก็บันลือเสียงสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งจะท่วมทับพลมารว่า เราเป็นสักขีพยานให้แก่ท่าน เราเป็นสักขีพยานให้แก่ท่าน
(ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส กล่าวว่า นางพระธรณีมิอาจนิ่งอยู่ได้ เมื่อถูกพระโพธิสัตว์อ้างเป็นพยาน จึงได้บันดาลเป็นรูปนารีผุดขึ้นจากพื้นดิน ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์ร้องประกาศว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ ข้าพระองค์ทราบอยู่ซึ่งบุญที่พระองค์สั่งสมมาตั้งแต่ต้น ด้วยว่าทักษิโณทกที่พระองค์หลั่งลงเหนือพื้นปฐพีนั้น ได้ตกลงมาชุ่มอยู่ในมวยผมของข้าพระองค์มากมายประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะได้บิดน้ำในมวยผมให้ไหลออกมาประจักษ์ ณ บัดนี้ ว่าแล้วก็บิดน้ำจากมวยผมให้ไหลออกมา น้ำนั้นมากมายไหลท่วมท้นเสนามารทั้งหลายให้ลอยไป แม้ช้างคิรีเมขล์ก็มิอาจยืนอยู่ได้ ลอยน้ำไปจนถึงมหาสมุทร ธงธวัชฉัตรชัย และจามรทั้งหลายก็หักทำลายลง)
ขณะที่พระโพธิสัตว์กำลังพิจารณาถึงทาน ที่ถวายในอัตภาพพระเวสสันดร ช้างคิรีเมขล์ก็ทรุดตัวคู้เข่าลง พญามารที่นั่นบนคอช้างพลัดตกลงมายังพื้นดิน ขณะเดียวกันอสนีบาตก็ฟาดเปรี้ยงลงมา มหาเมฆก็ร้องครืนครั่นปานภูเขาจะถล่มทลาย มหาสาครก็ปั่นป่วนกัมปนาททั่วจักรวาลเกิดโกลาหลสะท้านสะเทือน หมู่มารทั้งหลายตื่นตระหนกตกใจต่างพากันทิ้งศัสตราวุธหนีหายไปจนหมดสิ้น
พญามารเห็นเช่นนั้นก็ให้อัศจรรย์ใจ ด้วยความครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพของพระโพธิสัตว์ หนีกลับไปยังปรนิมมิตวสวัตตี อันเป็นเทวสถานของตน ประนมมือนมัสการ กล่าวสรรเสริญพระโพธิสัตว์ว่า
บุคคลในโลกและเทวโลก ที่จะเสมอด้วยพระองค์ไม่มี
พระองค์จักได้ตรัสรูเป็นพระพุทธเจ้า
จักขนสัตว์ผู้ชาญฉลาดให้ข้ามพ้นวัฏฏสงสาร
บรรลุพระนิพพาน ในครั้งนี้แน่นอน
(ปฐมสมโพธิกถา พระนิพนธ์ในสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส มารวิชัยปริวัตต์ ปริจเฉท 9 หน้า 144-145 กล่าวว่า ด้วยอำนาจการกล่าวสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ในครั้งนี้ พญามารจักได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณในกาลภายหน้า)
พระโพธิสัตว์ทรงชนะเหล่ามารได้ในเวลาอาทิตย์อัสดงพอดี บรรดาทวยเทพทั้งหลายรวมทั้งเหล่านาคและครุฑ เห็นพญามารและพลมารหนีไปแล้ว มีใจเบิกบาน ประกาศชัยชนะของพระโพธิสัตว์ในพวกของตนว่า พระสิทธัตถะทรงได้ชัยชนะ มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว พวกเราจงกระทำการบูชาชัยชนะครั้งนี้เถิด ต่างถือของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ มายังโพธิบัลลังก์อันเป็นที่ประทับของพระโพธิสัตว์ กระทำการสักการบูชา กล่าวคำสรรเสริญว่า
สิทธัตถะเป็นมนุษย์ ยังเอาชนะเทพบุตรมารได้
อานุภาพเห็นปานนี้ ควรที่ทุกผู้จะน้อมเศียรลงบูชา
พระองค์ผู้เที่ยงที่จะเป็นพระบรมศาสดาจารย์
ของมวลมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย
พระโพธิสัตว์ทรงเอาชนะพญามาร และเสนามาร ด้วยอำนาจบารมี 10 ประการ คือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี ที่ได้ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาอันยาวนานถึง 4 อสงไขยกับอีกแสนกัป (หลังจากได้รับพยากรณ์จากพระทีปังกรพุทธเจ้า) ตั้งแต่ยังไม่ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ด้วยประการฉะนี้
เรียบเรียงจากหนังสือ พระพุทธประวัติ โดย สุรีย์ มีผลกิจ
กลับไปที่ภาพชุดที ๓ |