ชุดที่ ๒ ภาพที่ ๓ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช


ชุด๒-ภาพที่๓-ภาพพระเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช

ภาพที่ ๓ ภาพเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกผนวช ทรงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที

พระโพธิสัตว์ลุกขึ้นจากพระแทนบรรทม เสด็จไปยังพระทวาร ตรัสกับ นายฉันนะ ซึ่งนอนอยู่ ณ ที่นั้นว่า วันนี้เราประสงค์จะออกมหาภิเนษกรมณ์ เจ้าจงจัดเตรียมสินธพฝีเท้าจัดไว้ตัวหนึ่ง นายฉันนะรับพระราชดำรัสแล้ว ถือเครื่องแต่งม้าไปยังโรงม้า เห็น พญาม้ากัณฐกะ เป็นม้าที่ถึงพร้อมด้วยรูป คือส่วนยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหาง 18 ศอก ส่วนสูงพอเหมาะกับส่วนยาว มีฝีและกำลังอันเลิศ สีขาวล้วนประดุจสังข์ที่ขัดสะอาดแล้ว นายฉันนะคิดว่าเราควรเตรียมม้ามงคลตัวนี้ เพื่อพระลูกเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์

ม้ากัณฐกะเมื่อถูกจัดเตรียม ก็รู้ว่าพระลูกเจ้าของเราคงจักมีพระประสงค์จะเสด็จออกมหาภิเนษกรณ์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะการเตรียมครั้งนี้ไม่เหมือนเวลาเสด็จในวันอื่น ม้ากัณฐกะมีใจยินดี ส่งเสียงร้องดังกังวาน แต่เทวดาปิดกั้นไว้มิให้ใครได้ยิน

พระโพธิสัตว์เมื่อทรงใช้นายฉันนะไปแล้ว มีพระดำริว่าเราจักดูลูกก่อน จึงเสด็จไปยังที่ประทับของมารดาพระราหุล ทรงเปิดพระทวาร ขณะนั้นประทีปน้ำมันหอมในห้องยังลุกโพลงอยู่ มารดาพระราหุลบรรทมหลับ วางพระหัตถ์ไว้เหนือเศียรของพระโอรส บนที่บรรทมอันเกลื่อนกล่นด้วยดอกมะลิ พระโพธิสัตว์ประทับยืนข้างพระทวาร ทอดพระเนตรดูแล้วทรงดำริว่า ถ้าเราจักยกพระหัตถ์ของพระเทวีออกแล้วจับลูกเรา พระเทวีก็จักตื่น มหาภิเนษกรมณ์ของเราก็จักเป็นอันตราย เราจักเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วจึงกลับมาเยี่ยมดูลูก ดังนี้แล้วเสด็จลงจากปราสาทไป

(ในอรรถกถา ชาดกกล่าวว่า ในตอนนั้นพระราหุลกุมารประสูติได้ 7 วัน)

พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากปราสาทแล้ว เสด็จเข้าไปใกล้พญาม้า ตรัสว่า กัณฐกะ วันนี้เจ้าจงพาเราข้ามฝั่งสักครั้งหนึ่งเถิด เราอาศัยเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จักยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามฝั่งด้วย จากนั้นพระโพธิสัตว์เสด็จขึ้นประทับบนหลังม้ากัณฐกะ ทรงโปรดให้นายฉันนะนั่งเยื้องพระปฤษฎางค์ เสด็จถึงประตูใหญ่แห่งพระนครในตอนเที่ยงคืน

หลังจากพราหมณ์พยากรณ์พระลักษณะของพระโพธิสัตว์แล้ว พระราชาทรงให้กระทำบานประตูพระนครสองบาน แต่ละบานจะต้องใช้บุรุษหนึ่งพันคนเปิด ด้วยพระดำริว่า พระโพธิสัตว์จักไม่สามารถเปิดประตูพระนครออกไปได้ ไม่ว่าในเวลาใดๆ แต่พระโพธิสัตว์ทรงสมบูรณ์ด้วยพละกำลัง มีพระดำริว่าถ้าประตูไม่เปิด วันนี้เราจะนั่งหลังกัณฐกะนี้แหละ จักเอาสองขาหนีบม้ากัณฐกะ แล้วกระโดดข้ามกำแพงไปพร้อมกับฉันนะ ส่วนนายฉันนะก็คิดว่า ถ้าประตูไม่เปิดเราก็จักให้พระลูกเจ้าประทับนั่งที่คอ สองขาหนีบม้ากัณฐกะ แล้วกระตุ้นให้กัณฐกะโดดข้ามกำแพงไป ฝ่ายม้ากัณฐกะก็คิดว่า หากประตูไม่เปิด จักยกพระลูกเจ้าตามที่ประทับนั่งอยู่พร้อมกับนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงออกไป ทั้งสามคิดเหมือนกันอย่างนี้ แต่เทวดาที่สถิตอยู่ที่ประตูได้ช่วยกันเปิดประตูใหญ่ให้พระโพธิสัตว์ เมื่อเสด็จพ้นประตูพระนคร พระโพธิสัตว์ทรงบังคับม้ากัณฐกะให้หันกลับ เพื่อทอดพระเนตรกรุงกบิลพัสดุ์อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเสด็จดำเนินต่อไป

ขณะนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า จักให้พระโพธิสัตว์กลับไป จึงมายืนขวางทางห้มมิให้ออก มหาภิเนษกรมณ์ กล่าวกับพระโพธิสัตว์ว่านับแต่นี้ 7 วัน จักรรัตนะทิพย์จะปรากฏแก่ท่าน ท่านจักได้ครอบครองราชสมบัติแห่งทวีปใหญ่ทั้ง 4 มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวาร ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านจงกลับเสียเถิด พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร มารตอบว่า เราคือ วสวัตตีมาร พระโพธิสัตว์ตรัสว่า เราทราบว่าจักรรัตนะจะปรากฏแก่เรา แต่เราไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ เราจักเป็นพระพุทธเจ้า ไปเสียเถิดมาร มารนั้นกล่าวว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเราจักคอยแสวงหาโอกาส และจักติดตามพระองค์ไปดุจเงาฉะนั้น

พระโพธิสัตว์มิได้มีความอาลัย ละทิ้งจักรพรรดิราชสมบัติ อันอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ ประหนึ่งทิ้งก้อนเขฬะ เสด็จออกจากพระนครด้วยพระทัยอันมั่นคง

ในกาลนั้น เหล่าเทวดาต่างพากันชูคบเพลิงแวดล้อมพระโพธิสัตว์ เหล่านาค และครุฑ เป็นต้น ก็บูชาด้วยของหอมและดอกไม้อันเป็นทิพย์ ตลอดทางที่เสด็จดำเนินผ่าน ผืนนภาเนืองแน่นไปด้วยดอกปาริชาต และดอกมณฑารพ ทิพยสังคีตทั้งหลายบรรเลงขึ้นโดยรอบ

พระโพธิสัตว์เสด็จผ่านราชอาณาจักรทั้ง 3 โดยราตรีเดียวเท่านั้น เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำสายหนึ่ง ในที่สุดหนทาง 30 โยชน์ ประทับยืน ณ ริมฝั่งแม่น้ำ ตรัสถามนายฉันนะว่าแม่น้ำนี้ชื่อใด นายฉันนะทูลตอบว่า ชื่อ อโนมานที พะย่ะค่ะ พระองค์จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณ ม้ากัณฐกะได้กระโดดข้ามแม่น้ำอันกว้างสุดประมาณ ไปยืนที่ฝั่งตรงข้าม พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่หาดทรายริมฝั่งน้ำ

พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า ผมของเราอย่างนี้ไม่ควรแก่เพศบรรพชิต ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่มี จึงใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลี (มวยผม) จนเหลือพระเกสายาวเพียงสององคุลี เวียนขวาแนบติดพระเศียร ส่วนพระมัสสุ (หนวด) ก็มีพอประมาณเหมาะกับพระเกสา พระเกสาและพระมัสสุของพระโพธิสัตว์ได้มีประมาณเท่านั้นตลอดพระชนม์ชีพ กิจด้วยการปลงพระเกสาและพระมัสสุมิได้มีอีกต่อไป

จากนั้น พระโพธิสัตว์ทรงรวบพระเมาลี อธิษฐานว่าถ้าเราจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ผมของเราจงตั้งอยู่ในอากาศ ถ้าไม่สามารถตรัสรู้ได้ ก็ขอให้ตกลงบนพื้นแผ่นดิน แล้วทรงเหวี่ยงขึ้นไป กำพระเมาลีนั้นลอยขึ้นไปในอากาศประมาณหนึ่งโยชน์ แล้วได้ตั้งอยู่ในอากาศ

ลำดับนั้น ท้าวสักกะเทวราชทรงนำผอบรัตนะมารับพระเมาลีนั้นไว้ นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ชื่อว่า จุฬามณีเจดีย์ ในดาวดึงสพิภพ

พระโพธิสัตว์ทรงดำริอีกว่า ผ้ากาสิกพัสตร์เหล่านี้มีค่ามาก ไม่สมควรแก่สมณเพศ ครั้งนั้น ฆฏิการมหาพรหม ผู้เป็นสหายเก่าของพระโพธิสัตว์ในสมัยพระกัสสปะพุทธเจ้า มีความเป็นมิตรมาตลอดพุทธันดรหนึ่ง คิดว่า วันนี้สหายเราจักออกมหาภิเนษกรมณ์ เราจักถือสมณบริขารไปเพื่อสหายนั้น จึงนำบริขาร 8 ไปถวาย คือ

ไตรจีวร บาตร มีด เข็ม รัดประคด และผ้ากรองน้ำ
ซึ่งเป็นของภิกษุผู้ประกอบความเพียร

พระโพธิสัตว์ทรงครองผ้าธงชัยแห่งพระอรหันต์ ทรงถือเพศบรรพชิตอันอุดม ทรงเหวี่ยงอาภรณ์อันวิสสุกรรมเทพบุตรตกแต่งให้ขึ้นไปในอากาศ ท้าวมหาพรหมมารับไว้แล้วสร้างเจดีย์ด้วยรัตนะในพรหมโลก บรรจุอาภรณ์เหล่านั้นไว้ภายใน

จากนั้น ตรัสสั่งนายฉันนะว่า ฉันนะผู้สหาย เธอจงนำกัณฐกะกลับไป นายฉันนะกราบทูลว่า แม้ข้าพระองค์ก็จักบวช พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง 3 ครั้งว่า เธอยังบวชไม่ได้ เธอจงกลับไปทูลข่าวการบรรพชาของเราแก่พระชนกและพระมาตุจฉา นายฉันนะจำใจต้องถวายบังคมลาพระโพธิสัตว์ กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป

ส่วนม้ากัณฐกะ ได้ยินพระดำรัสของพระโพธิสัตว์ที่ตรัสกับนายฉันนะ คิดว่า บัดนี้เราจักไม่ได้เห็นนายของเราอีกต่อไป พอละสายตาจากพระโพธิสัตว์ ไม่อาจกลั้นความโศกไว้ได้ หัวใจแตกตายในทันทีนั้น ไปบังเกิดเป็นเพทบุตรนามว่า กัณฐกะ ในภพดาวดึงส์ นายฉันนะถูกความโศกเบียดเบียนอีกเป็นครั้งที่สอง จำใจเดินทางกลับด้วยความทุกข์

พระโพธิสัตว์ทรงยับยั้งอยู่ ณ อนุปิยอัมพวัน ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานั้น 7 วัน ด้วยความสุข อันเกิดจากบรรพชา แล้วเสด็จดำเนินด้วยพระบาทสิ้นหนทาง 30 โยชน์ เสด็จเข้าสู่กรุงราชคฤห์ เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับเรือน ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันตื่นเต้น เพราะได้เห็นพระรูปโฉมของพระโพธิสัตว์ ด้วยความปีติโสมนัสในพระจริยาวัตร พวกราชบุรุษได้ไปกราบทูลเรื่องนี้แก่พระองค์พิมพิสาร พระราชาทรงสดับความแล้ว ประทับยืนที่ปราสาท ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ อัศจรรย์พระหทัยยิ่ง รับสั่งกับพวกราชบุรุษว่า ท่านทั้งหลายจงไปพิจารณาดูท่านผู้นั้น ถ้าหากเป็นอมนุษย์เมื่อออกจากพระนครแล้วจักหายไป ถ้าเป็นเทวดาจักไปทางอากาศ ถ้าเป็นนาคราชจักดำดินไป ถ้าเป็นมนุษย์จักบริโภคภิกษาหารตามที่ได้มา

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ ดำริว่าภัตมีประมาณเท่านี้พอสำหรับเรา เพื่อที่จะยังอัตภาพให้เป็นไป จึงเสด็จออกจากนครทางประตูที่เสด็จเข้ามา บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ประทับนั่งที่ร่มเงาของภูเขาปัณฑวะ เริ่มเสวยพระกระยาหาร พระองค์บังเกิดความรู้สึกว่าภัตเหล่านั้นมีอาการเสมือนจะกลับออกมาทางพระโอษฐ์ ทรงกังวลพระหฤทัยด้วยอาหารอันปฏิกูล เพราะพระองค์ไม่เคยประสบอาหารเช่นนี้มาก่อนแม้ด้วยพระจักษุ จึงทรงโอวาทพระองค์เองว่า ดูกรสิทธัตถะ เมื่อเธอได้เห็นท่านผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตรรูหนึ่ง แล้วเคยคิดว่า เมื่อใดเราจักได้ออกบวช เป็นผู้บิณฑบาตบริโภคเที่ยวไป กาลนั้นจักมีไหมสำหรับเรา บัดนี้เธอได้บวชสมปรารถนาแล้ว จะกระทำในข้อที่หวังไว้อย่างไร ครั้นทรงโอวาทพระองค์เองอย่างนี้แล้ว จึงเสวยพระกระยาหารนั้นด้วยความสำรวม ไม่มีพระอาการผิดปกติ

พวกราชบุรุษทั้งหลายเห็นเหตุนั้นแล้ว ได้ไปกราบทูลในพระราชาทรงทราบ พระราชาทรงสดับคำของราชบุรุษแล้ว รีบเสด็จออกจากพระนคร ตามไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์ ประทับนั่งเหนือพื้นศิลาอันพระโพธิสัตว์อนุญาต ทรงได้รับปฏิสันถารแล้ว จึงถามถึงนามและโคตร พระราชาเกิดความเลื่อมใสในพระอิริยาบถ ทูลขอให้พระโพธิสัตว์ครองราชย์บัลลังก์แคว้นมคธร่วมกันกับพระองค์

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า มหาบพิตร อาตมภาพไม่มีความต้องการด้วยวัตถุกาม หรือกิเลสกาม อาตมภาพปรารถนา พระสัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดยิ่งจึงออกบวช พระราชาแม้จะทรงขอร้องหลายประการ ก็มิสามารถจะโน้มน้าวพระหฤทัยของพระโพธิสัตว์ได้ ดำริว่าท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน จึงทูลของปฏิญญาว่า เมื่อใดพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ขอได้โปรดเสด็จมายังแคว้นของหม่อมฉันก่อน แล้วทูลลาพระโพธิสัตว์เสด็จกลับพระนคร

Go to Top

กลับไปที่ภาพชุดที่ ๒